มิเชล โอแดร์ (เกิด พ.ศ. 2487, ซัวซง, ฝรั่งเศส) เป็นศิลปินนักสร้างภาพยนตร์ผู้สร้างสรรค์ผลงานเชิงทดลองและวิดีโออาร์ตตั้งแต่ช่วงยุค 60 เป็นต้นมา โอแดร์เป็นศิลปินที่โดดเด่นในด้านการสังเกตเชิงจินตภาพ ผลงานภาพยนตร์ของเขาสามารถเรียกได้ว่าเป็นทั้งการสะท้อนภาพที่เสมือนจริงและมีไวยากรณ์ที่ลึกซึ้งราวกับบทกวีได้เช่นกัน โอแดร์มีชื่อเสียงจากงานเชิงทดลองที่ไม่บอกเล่าเรียงตามลำดับเวลา รวมถึงผลงานภาพยนตร์ที่ไม่ได้บอกเล่าเรื่องราวตามขนบทั่วไป แต่เป็นการเก็บภาพชีวิตของเขาและคนรอบตัวด้วยวิธีการที่ใกล้ชิด และนำประสบการณ์เหล่านั้นมาประกอบสร้างด้วยชิ้นส่วนเล็กๆ จากสิ่งที่เขาพบเจอเอง
งานของเขามักจะเป็นการทำงานระหว่างความเป็นศิลปะ สารคดี และการบอกเล่าเรื่องราวส่วนตัว ราวกับเป็นการเขียนไดอารี่หรือบันทึกความฝัน ตลอดการทำงานของเขา เขาได้สร้างสรรค์ผลงานตั้งแต่ภาพยนตร์แบบเล่าเรื่องราว ไปจนถึงภาพยนตร์แบบส่วนตัว การที่เขาพกกล้องวิดีโอแบบพกพาทำให้เขามีโอกาสได้เก็บบันทึกภาพชีวิตส่วนตัวของเขาได้อย่างใกล้ชิดและตรงไปตรงมา ซึ่งถือว่าเป็นการแหกขนบธรรมเนียมการเล่าเรื่องในวิดีโออาร์ตและภาพยนตร์ในสมัยนั้น โดยการเล่าเรื่องประเภทนี้ยังคงถูกมองว่าเป็นการแหกขนบต่อมาเป็นระยะเวลาหลายปี
ต่อมาเขาได้ร่วมงานในสตูดิโอ The Factory ของแอนดี้ วอร์ฮอล ที่นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ทำให้เขาได้สัมผัสกับสภาพสังคมในมหานครนี้ในฐานะผู้อยู่อาศัย เขาได้เก็บรวบรวมภาพของผู้คนและเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้น ทำให้เขามีฟุตเทจวิดีโอสะสมไว้จำนวนหลายพันชั่วโมง อันเป็นมุมมองที่สะท้อนภาพประวัติศาสตร์วงการศิลปะของสหรัฐอเมริกาสมัยนั้นได้เป็นอย่างดี
ตลอดหลาย 10 ปีที่ผ่านมา เขาได้สร้างงานอย่างต่อเนื่องโดยใช้วิดีโอเป็นสื่อกลาง ภายในงานต่างๆ เขาได้สร้างความเชื่อมโยงระหว่างประเด็นส่วนบุคคลและประเด็นที่ผู้คนทั่วโลกต่างสัมผัสร่วมกัน พาให้ผู้ชมได้มองเห็นโลกจากมุมมองของเขา และแบ่งปันประสบการณ์ตั้งแต่เรื่องธรรมดาทั่วไป ไปจนถึงเรื่องที่พิเศษสุด การใช้ภาพวิดีโอจากฟิล์มเป็นสื่อกลางที่บอกเล่าได้อย่างใกล้ชิดทำให้เขาเกิดการตั้งคำถามเกี่ยวกับความเป็นไปของ ‘เวลา และ ความทรงจำ’ ระหว่าง ‘ความจริง และ เรื่องที่แต่งขึ้น’ ‘การสัมผัส และ การนำเสนอ’ และในประการสุดท้ายคือ ‘เรื่องส่วนตัวที่ใกล้ชิด และ การเปิดเผยมันออกมา’
ผลงานของเขาถูกจัดแสดงที่บางกอก คุนสตาเล่อ โดยแบ่งรูปแบบการนำเสนอออกเป็นสองประเด็น ผลงานกลุ่มแรกประกอบด้วยงาน 5 ชิ้น ที่เขาเล่าเรื่องที่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติ และอีก 9 ผลงานเป็นการบอกเล่าพัฒนาการของเขาผ่านการผสมผสานผลงานในประเภทต่างๆ
ผลงานกลุ่มแรก โอแดร์เลือกนำเสนอภาพความสัมพันธ์ระหว่างตัวเขากับธรรมชาติผ่านมุมมองเกี่ยวกับเวลา เขาบอกเล่าการสะท้อนภาพของธรรมชาติที่ทำให้เกิดเทคนิคการตัดต่อเฉพาะตัว เพื่อสร้างสรรค์ปรากฏการณ์อันซับซ้อนที่เกิดขึ้น ภาพยนตร์เรื่อง ‘Voyage to the Centre of the Phone Lines’ (2536) ผลงานสร้างชื่อของเขา โอแดร์ได้จัดวางบันทึกเสียงบทสนทนาโทรศัพท์นิรนามเข้ากับวิวทิวทัศน์ท้องทะเล—ทราย, น้ำ, ดวงอาทิตย์, ดวงจันทร์ และนกที่บินผ่านไปมาโดยปราศจากสัญญาณของมนุษย์ ภาพในภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างการตระหนักรู้ในการดำรงอยู่ของธรรมชาติที่อยู่เหนือห้วงเวลา ขณะที่เสียงในภาพยนตร์ช่วยสะท้อนความธรรมดาและราบเรียบ ผสานเข้ากับการลอกเลียนอารมณ์ความรู้สึกในแบบมนุษย์ ดังเช่นงานของเจมส์ จอยซ์ ศิลปินชาวไอริช งานชิ้นนี้จึงช่วยสะท้อนถึงความกังวลเกี่ยวกับความบอบบางของชีวิต แววความวิตกในสุ้มเสียงของผู้คนเหล่านั้นทำให้นึกถึงความกลัวที่จะตาย อันค่อยๆ ก่อตัวขึ้นในความรู้สึก ‘Domaine de la Nature’ (2566) เป็นผลงาน วิดีโอคอลลาจที่รวมภาพธรรมชาติโดยใช้วิธีการเล่าที่เนิบช้า และใช้การแพนกล้องที่ยาวนานเป็นพิเศษ ‘I am So Jealous of Birds II’ (2554) เป็น ‘วิดีโอ กลอนไฮกุ’ ของนกแห่งนครนิวยอร์ก และผลงานชิ้นสุดท้ายในกลุ่มนี้คือ ‘Flowers of Thailand’ (2566) เป็นผลงานศิลปะจัดวางบนสองจอภาพ จัดทำขึ้นในกรุงเทพฯ ซึ่งให้ความรู้สึกคล้ายกับการเขียนจดหมายที่เชื่อมโยงถึงกันระหว่างรูปร่างและสีสัน
ผลงานกลุ่มที่สองเป็นการรวบรวมบันทึกเหตุการณ์ บันทึกการเดินทาง ไดอารี่ วิดีโอพอร์เทรต รวมถึงวิดีโอเชิงทดลองที่เล่าออกมาราวกับบทกลอน และคอลเล็กชันผลงานส่วนตัวที่โอแดร์ใช้เทคนิคการตัดต่อ การถ่าย และการบอกเล่าอย่างหลากหลาย ‘Bangkok Yaowarat’ (2566) พรรณนาภาพเหตุการณ์ประจำวันของชีวิตบนท้องถนนกรุงเทพ การเคลื่อนไหวที่คล้องจองแต่ไม่ได้นัดหมายของผู้คนและสินค้า งานวิดีโอพอร์เทรตที่โอแดร์บันทึกภาพเหล่าศิลปินอย่าง ‘Cindy Sherman’ (2531) ‘Florence’ (2518) และ ‘Alice Neel Painting Margaret’ (2521, แก้ไขปี 2552) เป็นการสะท้อนภาพบันทึกชีวิตและเบื้องหลังการสร้างงานศิลปะของศิลปินในสตูดิโอได้อย่างโดดเด่น
บางผลงานของโอแดร์จะมีลักษณะเป็นการผสมผสานกันอย่างใกล้ชิดระหว่างสื่อกลางที่ไม่น่าจะเข้ากันได้ ตัวอย่างเช่น ‘The World Out Of My Hands’ (2549) หรือ ‘Heads of Town’ (2552) ในช่วงเวลานั้น งานของเขาใช้ฟอร์มของการทำคอลลาจ ร่วมกับการจับจังหวะของดนตรีและบทกวี ดังที่ปรากฏใน ‘Van Gogh’ (2566), ‘Gemälde 2’ (2554, แก้ไขปี 2562) หรือ ‘Bangkok City’ (2566) ‘Talking Head’ (2524, แก้ไขปี 2552) เป็นผลงานที่โอแดร์บันทึกภาพลูกสาวของตนเองกำลังพูดคุยกับตัวเองอยู่ ‘DAUGTHERS’ (2566) เป็นผลงานที่สะท้อนความสัมพันธ์ระหว่างฉากหน้าและฉากหลังของภาพ ขณะที่เสียงพากย์และคำพูดของ Natalie Brück ให้ความรู้สึกทั้งอันตรายและดูเย้ายวนในเวลาเดียวกัน ซึ่งเป็นส่วนผสมที่ทำให้เสียงของงานชิ้นนี้โดดเด่น
งานของมิเชล โอแดร์ ถูกนำไปจัดแสดงในหลากหลายพิพิธภัณฑ์และแกลเลอรี ผ่านนิทรรศการระดับนานาชาติ ครอบคลุมทั้งงานนิทรรศการเดี่ยวและนิทรรศการเชิดชูเกียรติศิลปิน ไม่ว่าจะเป็น Moma PS1 (นิวยอร์ก, สหรัฐอเมริกา), documenta 14 (แคสเซล, เยอรมนี และเอเธนส์, กรีซ), 2014 Whitney Biennial (นิวยอร์ก, สหรัฐอเมริกา), Frans Hals Museum (ฮาร์เล็ม, เนเธอร์แลนด์), Fondation Vincent Van Gogh (อาร์ลส์, ฝรั่งเศส), documenta 13 (แคสเซล, เยอรมนี), Museum Ludwig (โคโลญ, เยอรมนี) and Kunsthalle Basel (เบเซิล, สวิตเซอร์แลนด์) นอกจากนี้ ผลงานของเขายังถูกจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ของรัฐในฐานะสมบัติของชาติอีกมากมายหลายแห่ง ทั้ง Centre Georges Pompidou (ปารีส, ฝรั่งเศส), FRAC Provence-Alpes-Côtes d’Azur (มาร์เซย, ฝรั่งเศส), Kadist Art Foundation (ปารีส, ฝรั่งเศส) และ Muhka (แอนต์เวิร์ป, เยอรมนี), ICA (ไมอามี, สหรัฐอเมริกา) และอื่นๆ อีกมากมาย
Curator Statement
การบันทึก, การเล่นซ้ำ, การระลึก:
การเดินทางผ่านชีวิตและผลงานของมิเชล โอแดร์
โดย สเตฟาโน ราโบลลี แพนเซรา
“ปล่อยสายน้ำไหลหลั่งลงจากลำธาร
นัยน์ตาสมานเป็นหนึ่งหยดน้ำใส
เราพินิจดูชีวิตต่างกันไป
ผู้ร้องไห้คือผู้มองเห็นน้ำตา”
ดวงตาและน้ำตา โดย แอนดรูว์ มาร์เวล
มิเชล โอแดร์ มองเห็นชีวิต เฝ้าดูโลก สำรวจผู้คน จ้องมองไปที่เรื่องราวนับร้อยพันในชีวิตประจำวันที่เขาพานพบ การเฝ้ามองของเขาทำให้เขาได้มองเห็นรายละเอียดเล็กๆ ที่เราอาจมองข้ามไปโดยไม่รู้ตัว ด้วยวิธีการนำเสนออันชาญฉลาดด้วยสายตาของผู้ที่เดินผ่านแล้วเฝ้าดูพื้นผิวบางๆ ของกลีบดอกไม้ ท่วงท่าที่สอดประสานกันของผู้คนที่ใช้ชีวิตในเมือง การเคลื่อนไหวอย่างช้าๆ ของเมฆแต่ละก้อน ไปจนถึงแสงไฟกระพริบวิบๆ บนจอโทรทัศน์รุ่นเก่า
โดยพื้นฐานแล้ว มิเชล โอแดร์ เป็นนักเล่าเรื่องผ่านภาพผู้เก็บบันทึกและแบ่งปันเรื่องราวในชีวิตที่เขาสังเกตมาผ่านงานวีดีโอ
“สิ่งที่ผมทำไม่ได้เป็นการบันทึกไดอารี่ ถึงแม้งานของผมจะเป็นการผสมผสานแนวทางของไดอารี่และสารคดี แต่สิ่งที่ผมทำคือการก่อกวนรูปแบบของมันทั้งหมด” โอแดร์ยืนยัน
ที่จริงแล้ว ‘การก่อกวน’ และ ‘การทดสอบ’ รูปแบบของงานเหล่านี้ มีปัจจัยร่วมที่สำคัญสองประการ คือ ความใกล้ชิด และเวลา
‘การมองเห็น’ นั้นเป็นรูปแบบการนำเสนอหลักที่ใช้ในผลงานของโอแดร์ การมองเห็นภาพต่างๆ ในงานของเขาคือหลักฐานแห่งการเฝ้าดูและบันทึกตรึกตราเรื่องราวส่วนที่มองผ่านสายตาของเขาได้อย่าง ‘เบี่ยงเบน’ และ ‘ต่อเนื่อง’
ความ ‘เบี่ยงเบน’ ดังกล่าวนี้ เกิดจากการที่โอแดร์หันเหความสนใจของเขาไปโฟกัสที่รายละเอียดที่อาจเป็นส่วนเล็กๆ น้อยๆ ในการกระทำนั้น เป็นการให้ความสำคัญกับแง่มุมบางอย่างที่ถูกมองข้ามไป การเบี่ยงเบนความสนใจจากสิ่งของชิ้นสำคัญเบื้องหน้า กลับไปมองภาพความเป็นไปในพื้นหลัง อันเป็นการแหกขนบทางศิลปะเพื่อจับภาพชีวิตในมุมมองอันชิดใกล้ ราวกับว่าศิลปินได้ถูกมนต์สะกดให้สร้างงานศิลปะอันลึกซึ้งผ่านห้วงแห่งจิตวิญญาณ
ส่วนความ ‘ต่อเนื่อง’ ที่ปรากฎ เกิดจากการที่โอแดร์ใช้ชีวิตของเขาอยู่กับกล้องถ่ายวีดีโอแทบจะตลอดเวลา เขาบันทึกภาพชีวิตของเขา นำเทปกลับมาดูหลายต่อหลายครั้ง เขารับชมผลงานของตนเอง นำทุกไฟล์มาจัดเรียง ตัดต่อ ปรับแก้ ครอบตัดบางเฟรม และจัดการแต่ละซีน แต่ละคัตอย่างประณีต ดังที่โจนาส เมคาส หนึ่งในเพื่อนและผู้สนับสนุนที่สนิทที่สุดของโอแดร์กล่าวว่า “ตอนที่ผมไปเยี่ยมมิเชลที่โรงแรมเชลซีในช่วงปี 2513 กล้องวีดีโอของเขาก็ยังอยู่ตรงนั้น ยังคงบันทึกภาพและปล่อยให้กล้องทำงานไปเรื่อยๆ ภาพในกล้องเหล่านี้เป็นเหมือนส่วนหนึ่งของบ้านเขา ส่วนหนึ่งของชีวิต ดวงตา มือทั้งสองข้าง แม้กระทั่งตอนนี้ก็เช่นกัน - นี่คือเรื่องราวของความรัก– ไม่สิ ไม่ใช่ความรัก มันคือความคลั่งไคล้ในการเพ่งมองชีวิต”
ดังตัวอย่างที่เห็นจากชื่อผลงานของโอแดร์ในยุคแรกๆ ‘Keeping Busy’ (2512) งานศิลปะของเขาได้สร้างรูปแบบอันเกี่ยวโยงกันของเหตุการณ์ที่ไม่ได้ถูกเรียบเรียงอย่างประณีต ไม่ได้จัดลำดับตามเวลา และทุกสิ่งล้วนสูญสลายไปเมื่อเรามัวแต่ทำงานและวางแผนทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ตลอด การสังเกตดูชีวิตอย่างเข้มข้นผ่านมุมมองของโอแดร์ ทำให้ผู้ชมได้สัมผัสกับสิ่งที่เขาได้เผยออกมาในงานอย่างใกล้ชิด โดยเราจะเห็นได้จากความสัมพันธ์ระหว่างการสัมผัสกันของร่างกายมนุษย์และสิ่งของที่เขาถ่ายภาพไว้
มิเชล โอแดร์ เป็นนักสำรวจชีวิตทั้งในมุมที่ทั้งรุ่งเรืองและเศร้าหมอง ตามทฤษฎีควอนตัมฟิสิกส์นั้น การสังเกตจะไม่นับเป็นสิ่งที่ถูกสัมผัสรับรู้ ถ้าหากไม่มีผู้สังเกตการณ์ และปัจจัยที่คอยตัดสิน ‘ภาพรวม’ และมีความ ‘เป็นกลาง’ สำหรับมิเชล โอแดร์ นอกจากจะไม่ได้เป็นผู้สังเกตการณ์ที่เป็นกลางแล้ว เขายังเป็นศิลปินที่ถ่ายทอดเรื่องราวของสิ่งที่เขาสังเกตออกมาได้อย่างซับซ้อน เรื่องราวที่เขาเลือกเล่าเต็มไปด้วยพลังและโชคชะตาที่พันกันยุ่งเหยิง นี่คือเหตุผลที่ภาพยนตร์ของโอแดร์มีความผูกพันกับชีวิตของเขาจนแยกไม่ออก เพราะเขาคือนักปฏิวัติ และมุมมองด้านศิลปะของเขาคือการกระทำที่ต่อต้านขนบเดิมเป็นอย่างมาก
ผลงานของโอแดร์มีทั้งความงดงาม โหดร้าย และเปิดเผยอยู่ปะปนกัน ภาพยนตร์ทุกเรื่องของเขามีอิทธิพลต่อการปรับมุมมองในขนบการเล่าเรื่องผ่านภาพยนตร์ในกลุ่มผู้ชม ด้วยกระบวนการเรียงลำดับเรื่องเล่าและการนำเสนอ รวมถึงการเลือกใช้วีดีโอฟอร์แมตใหม่ๆ ทันทีที่มีเทคโนโลยีเข้าถึง (เช่นการปรับวิธีสร้างงานจากฟิล์มสู่โทรศัพท์มือถือ) โอแดร์สร้างสรรค์ผลงานมาแล้วทั้งภาพยนตร์สั้น ภาพยนตร์ขนาดยาว วีดีโอจัดวาง และภาพถ่ายหลากหลายรูปแบบ โดยมีตั้งแต่ผลงานที่รับแรงบันดาลใจจากประวัติศาสตร์ศิลป์ งานวรรณกรรม ภาพยนตร์โฆษณาทางโทรทัศน์ หรือภาพยนตร์แนวทดลอง
โอแดร์เกิดในเมืองซัวซง ทางตอนเหนือของฝรั่งเศสในปี 2487 เขาได้ใช้ชีวิตวัยเด็กอันสงบสุขที่นั่น ต่อมาในช่วงปลายยุค ‘50 เขาย้ายเข้ามาอาศัยในกรุงปารีสเพื่อฝึกงานเป็นช่างภาพโฆษณาแฟชั่น และได้เริ่มทำภาพยนตร์เป็นครั้งแรกในช่วงต้นๆ ของยุค ‘60
ในปี 2506 เขาได้เข้าร่วมกองทัพฝรั่งเศส และถูกส่งไปประจำอยู่ที่อัลจีเรียในฐานะช่างภาพทหาร และด้วยแนวทางการใช้ชีวิตแบบหัวขบถ ทำให้เขาถูกลงโทษในคุกทหารอยู่เป็นเวลาสามเดือน ด้วยข้อหาละเลยการปฏิบัติหน้าที่
หลังกลับมายังปารีส โอแดร์ได้แรงบันดาลใจในการทำภาพยนตร์จากการดูงานของฌอง ลุค โกดาร์ด จากนั้นเขาได้รับการสนับสนุนให้สร้างผลงานภาพยนตร์ชิ้นแรกจากกลุ่มนักทำหนังฝ่ายซ้ายจัดนามว่ากลุ่ม Zanzibar นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นในสายอาชีพทำภาพยนตร์ของเขา
ต่อมา เมื่อโอแดร์ได้ซื้อกล้อง Sony Portapak ซึ่งเป็นกล้องวีดีโอพกพารุ่นแรก เขาได้ค้นพบวิธีการทำหนังแบบที่ไม่ต้องใช้บทหรือจัดฉากใดๆ เขาเพียงแค่ถือกล้องไปด้วยในทุกๆ วันของการใช้ชีวิต ทำให้เกิดแนวคิดส่วนตัวของเขาที่ว่า ‘ในหนังของผม โลกใบนี้คือฉาก และผู้คนในโลกคือนักแสดง’
ในช่วงปลายยุค ‘60 และช่วงเวลาส่วนใหญ่ของยุค ‘70 เขาอาศัยอยู่ในโรงแรมเชลซีในกรุงนิวยอร์ก ในช่วงเวลานั้นเขาได้มีโอกาสพบกับแอนดี้ วอร์ฮอล วอร์ฮอลได้แบ่งปันทักษะการสร้างงานศิลปะผ่านมัลติมีเดียหลากแขนง และได้พาโอแดร์ไปพบกับเครือข่ายของศิลปิน นักแสดง นางแบบ นายแบบมากมาย รวมถึงซูซาน ฮอฟฟ์แมน หรือที่พวกเขารู้จักกันในนาม ‘วีว่า’ ซึ่งเป็นชื่อที่วอร์ฮอลตั้งให้เธอ และในที่สุด โอแดร์ก็ได้แต่งงานกับฮอฟฟ์แมนที่เมืองลาสเวกัสในเวลาต่อมา
ภาพยนตร์ยุคแรกของโอแดร์ประกอบด้วยสไตล์เฉพาะตัวของเขา คือการแยกรายละเอียดชิ้นส่วนของฟุตเทจ นำเรียงต่อกันเป็นชั้นๆ อันเป็นภาพบันทึกชีวิตส่วนตัวของเขาในทุกวัน ภาพยนตร์ของเขาไม่ได้เล่าเรื่องราวผ่านบทหรือฉากที่ชัดเจน แต่ถูกตัดสลับระหว่างสถานที่ต่างๆ และสถานการณ์ต่างๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกัน ศิลปินผู้นี้ได้นำกล้องของเขาไปถ่ายเพื่อนๆ ครอบครัว คนแปลกหน้า สิ่งต่างๆ รอบตัว จนในที่สุดการทำงานเช่นนี้จึงเหมือนกับว่าเขาตั้งกล้องบันทึกภาพชีวิตอยู่ตลอดเวลาเลยทีเดียว
จากการถ่ายวีดีโอจำนวนมากนี้ ทำให้โอแดร์มีฟุตเทจวีดีโอส่วนตัวอยู่หลายพันชั่วโมง ซึ่งรวบรวมจากกล้องวีดีโอส่วนตัวไปจนถึงโทรศัพท์มือถือ ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายวีดีโอผู้คน ภาพถ่ายทิวทัศน์ขณะท่องเที่ยว และภาพที่ถ่ายต่อจากจอโทรทัศน์
ภาพยนตร์ขนาดยาวเรื่องเดียวของโอแดร์คือ ‘คลีโอพัตรา’ (2513) ถ่ายด้วยฟิล์ม 16มม. และ 35 มม. ด้วยการจัดงานสร้างที่อลังการ โอแดร์มองภาพการทำงานศิลปะชิ้นนี้ให้กว้างไกลไปว่าสิ่งที่เขาเคยคุ้นและคิดว่าจะทำได้ อันที่จริงแล้ว การถ่ายทำในช่วงท้ายได้จบลงอย่างย่อยยับ เนื่องจากโปรดิวเซอร์ได้ตัดงบประมาณสนับสนุนในการทำภาพยนตร์ออก ถึงแม้จะได้ฉายที่เทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ แต่ก็ยังไม่ได้มีผู้ชมรับชมในวงกว้าง
มิเชล โอแดร์ ค้นพบความจริงในช่วงเวลานั้น ว่าเขาควรที่จะปฏิเสธการทำหนังในขนบของสตูดิโอโปรดักชัน และบริษัทโปรโมตหนังในสมัยนั้น เพื่อไล่ตามความฝันที่จะได้สร้างสรรค์งานอย่างอิสระ ผ่านภาษา ประสบการณ์ การสัมผัสและการตีความส่วนตัวของเขาเอง
ตั้งแต่ที่ได้ย้ายมายังมหานครนิวยอร์กในฐานะผู้อยู่อาศัย จากการได้ร่วมงานกับสตูดิโอ The Factory ของแอนดี้ วอร์ฮอล โอแดร์ได้พบเจอความหมกมุ่นครั้งใหม่ คือการบันทึกชีวิตของเขาลงในกล้องวีดีโอ
เขาดูภาพชีวิตของเขาผ่านฟุตเทจวีดีโอหลายพันชั่วโมง การสังเกตดูชีวิตเหล่านี้เป็นการเปิดพื้นที่อันกว้างใหญ่ให้กับฟุตเทจที่มีความสวยงาม แต่อาจถูกนำไปตัดต่อให้เกิดเป็นผลงานใหม่ตามความคิดสร้างสรรค์ของเขาเอง การทำงานด้วยวิธีการนี้คือรากฐานของการทำงานของโอแดร์ในช่วงปีที่ผ่านๆ มา ทั้งการใช้โทรศัพท์มือถือบันทึกภาพ และเช่นเดียวกับทุกครั้ง คือศิลปะกับชีวิตของเขาจะผูกพันเข้าด้วยกันอย่างเหนียวแน่น
พื้นที่เก็บความทรงจำของเขาได้ขยายตัวใหญ่ขึ้น เขายังคงสะสมไฟล์วีดีโอไว้ในพื้นที่ต่างๆ เพื่อเก็บไว้เป็นวัตถุดิบในการสร้างผลงานส่วนตัวแต่ละชิ้น
ขณะที่บางชิ้นงานถูกประกอบขึ้นจากฟุตเทจในกล้องวีดีโอ และค่อยๆ ถูกนำไปตัดต่อเป็นเวลาหลายปี หรือบางชิ้นก็ใช้เวลานานกว่าสิบปีหลังจากได้ถ่ายวีดีโอเหล่านั้นไว้
เมื่อเวลาผ่านไป สถานการณ์และผู้คนในภาพได้ถูกกลับมาย้อนดูอีกครั้ง โอแดร์จึงได้ตัดต่อและเปิดเผยมันออกจากคลังภาพ เรียกได้ว่างานของเขาไม่ได้เป็นเพียงการสะสมภาพอดีต หรือไม่ได้เป็นเพียงการย้อนมองภาพความทรงจำอันน่าระลึกถึงของวันเวลา ณ ขณะนั้น แต่มันเป็นการนำภาพของอดีตกลับมาบอกเล่าใหม่อีกครั้ง โดยใช้รูปแบบการนำเสนอที่ใหม่ยิ่งขึ้น
การผลิตงานโดยใช้แนวคิดนี้ คือการที่โอแดร์เลือกประมวลผลภาพความทรงจำในแบบที่สร้างสรรค์กว่าที่เคยเป็น จากการรวบรวมสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ผ่านไปในชีวิต ไปพร้อมๆ กับการมองหาวิธีการบอกเล่าสิ่งเหล่านี้ออกมาในเชิงจินตภาพ
วิธีการเล่าเรื่องของเขาไม่เพียงแต่เป็นความ ‘เบี่ยงเบน’ และ ‘ต่อเนื่อง’ เท่านั้น แม้แต่กระบวนการตัดต่อนั้นก็ยังมีความหน่วงช้าและประณีต ในความจริงแล้วโอแดร์ให้มุมมองที่ใกล้ชิดในการพาผู้ชมเข้าสู่โลกที่โอบล้อมตัวเขาไว้ผ่านคลังวีดีโอเหล่านี้: โอแดร์พินิจดูฟุตเทจวีดีโอของตัวเอง ราวกับว่าเขามองย้อนกลับไปยังมุมมองของตัวเองอีกครั้ง เขามักจะกลับมาย้อนนึกถึงการเล่าเรื่องชีวิตของเขาผ่านภาพในแต่ละชิ้นงานอยู่เสมอ มากไปกว่านั้นคือ เขาได้อธิบายเกี่ยวกับกระบวนการนี้ว่า: “ผมพยายามจะไม่ทำอะไรกับฟุตเทจทันทีที่มันถูกถ่าย ผมจะเก็บมันไว้หลายๆ ปี และจะรอจนกว่าผมจะสามารถกลับไปดูมันอีกได้” โอแดร์เล่าต่อว่า: “นี่คือเหตุผลที่ผมเก็บวีดีโอและงานของผมไว้ทั้งหมด ไม่ใช่ว่าผมรู้สึกว่ามันเจ๋งดี แต่เพราะผมรู้สึกว่าผมจะต้องถ่ายฟุตเทจพวกนี้ไว้ตลอดเวลา ไม่มีเหตุผลที่จะลบมันเลย ถึงแม้มีบางคลิปที่มันอาจจะดูแย่สักหน่อย แต่ประสบการณ์ที่ผ่านมานั้นสอนผมว่า เมื่อเวลาผ่านไปสัก 20 ปี ถ้าผมกลับไปย้อนดูมันและเจอบางอย่างที่น่าสนใจ ผมคิดว่าตัวเองฉลาดพอที่จะเข้าใจว่า เมื่อเวลาผ่านไป สิ่งต่างๆ ก็จะถูกมองในความหมายที่ไม่เหมือนเดิม”
ด้วยวิธีการตัดต่อที่ไม่เรียบเรียงตามลำดับเวลา ทำให้ศิลปินสามารถใช้ความรู้สึกในการเว้นระยะห่างทางความทรงจำผ่านการตัดต่อได้อย่างชัดเจน ยิ่งไปกว่านั้น เขายังมีอิสระที่จะใช้วัตถุดิบที่มีในการสร้างเรื่องราวใหม่ผ่านกระบวนการบอกเล่าที่เกินจะคาดคิด วิธีการเล่าเรื่องของโอแดร์มีบางส่วนที่คล้ายคลึงกับทฤษฎีจิตวิเคราะห์ของซิกมันด์ ฟรอยด์ ที่เรียกกันว่า ‘afterwardsness’: คือการสัมผัสรับรู้และเข้าใจเหตุการณ์หรือความทรงจำที่ผ่านไปแล้วได้ไม่ตรงกับความเป็นจริง เนื่องจากมีประสบการณ์ใหม่ๆ มาเบี่ยงเบนรูปแบบที่ใช้ในการรับรู้
แนวคิดนี้ได้กลายเป็นหัวใจสำคัญในกระบวนการตัดต่อของมิเชล โอแดร์ มันทำให้เขาได้สร้างงานชิ้นใหม่ๆ โดยใช้เทคนิคพิเศษอื่นๆ ในการสร้างความหมายใหม่ให้กับภาพที่เคยถ่ายไว้ในสมัยก่อน
โอแดร์ผสมผสานวีดีโอที่เพิ่งถ่ายใหม่ และการตัดต่อใหม่ๆ ของวีดีโอต่างๆ ข้างต้น จนเส้นแบ่งของเวลาในผลงานของเขาเลือนหายไป เมื่อนั้นภาพของอดีตก็ถูกแทนด้วยภาพปัจจุบัน
ด้วยความตั้งใจที่จะสร้างงานโดยเล่นกับความเป็นความทรงจำและระยะเวลา การสะสมและปล่อยออก การสะท้อนภาพอดีตนั้นจึงไม่ใช่ทั้งเป็นการหวนรำลึกความทรงจำ และไม่ใช่การสร้างงานจากจินตภาพด้วย
เมื่ออดีตคือการบันทึกภาพเก็บไว้ “ชุดความทรงจำที่ได้รับมา” จึงสามารถนำมาถูกตัดต่อและแต่งเติมเพื่อสร้างเป็นความทรงจำใหม่ได้ โอแดร์อธิบายว่า “อดีตคือปัจจุบัน ผมไม่เสียดายอะไรเลย มันแค่เป็นภาพฟุตเทจวีดีโอที่ผมนำมาใช้ได้ ในแต่ละเหตุการณ์ แต่ละห้วงเวลานั้นไม่ได้มีอะไรต่างกันเลย อดีตก็คืออดีต และความทรงจำของผมก็แปรสภาพเป็นเพียงกรอบสี่เหลี่ยมในคลิปวีดีโอเท่านั้น”
แนวคิดของการซ้อนทับ การสร้างใหม่ และการเปลี่ยนแปลงไวยากรณ์ในเรื่องเล่า ได้กลายเป็นความรู้สึกอันทรงพลังในการบิดเบือนสัมผัสรับรู้ในห้วงเวลาและน้ำหนักของห้วงอารมณ์ที่ผู้ชมได้พบเจอในงานของเขา
ในช่วงปี 2523 เป็นต้นมา โอแดร์ได้สร้างสรรค์งานวีดีโอที่ใช้การอัดภาพผ่านหน้าจอโทรทัศน์ และนำภาพเหล่านั้นมาบอกเล่าในรูปแบบใหม่ ในโลกที่สื่อหลักอย่างโทรทัศน์กำลังยึดครองโลกสมัยนั้น ชีวิตของผู้คนและสิ่งต่างๆ ถูกบันทึกและถ่ายทอดออกมาผ่านหน้าจออย่างไม่หยุดยั้ง ในขณะนั้น โอแดร์ก็เฝ้าดูฟุตเทจวีดีโอที่เขาสะสมมา ด้วยบันทึกชีวิตที่สะท้อนออกมาผ่านหน้าจอของเขาเช่นกัน ผลงานที่โอแดร์ทำขึ้นในยุคนั้นสะท้อนพลังแห่งความสร้างสรรค์และการเป็นผู้เริ่มต้นใช้องค์ประกอบเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ในการทำงาน เริ่มจากวีดีโอ การทดลองเทคนิคทางเสียง และการเลือกใช้สื่อกระแสหลักมาเป็นส่วนประกอบของชิ้นงาน ทำให้เขาสามารถทดลองและสะท้อนภาพความรู้สึกนึกคิดของเขาออกมาได้อย่างหลากหลายตลอดระยะเวลายาวนาน
การเป็นผู้ควบคุมอดีตนั้น อาจหมายถึงเราจำเป็นต้องควบคุมตัวตนของเราเองในปัจจุบันด้วย อย่างไรก็ตาม ความโดดเด่นในผลงานของโอแดร์อาจหมายถึงการควบคุมระดับความชัดเจนและพร่าเลือนระหว่างอดีต ปัจจุบัน และความทรงจำ ผลงานเขาได้ย้ำเตือนเราอยู่เสมอถึงการผสมปนเปกันอย่างแยกไม่ออกระหว่างประสบการณ์ การสะสมเรื่องราวในชีวิต และการสะท้อนภาพที่เราเห็นออกสู่ภายนอก เพราะประสบการณ์คือสิ่งที่จะแปรสภาพเป็นความทรงจำ และความทรงจำอาจไม่ใช่การสะท้อนที่แม่นยำเด่นชัดเสมอไป
หากเราพิจารณาจากลักษณะเชิงภาพยนตร์และสไตล์หลักๆ ที่โอแดร์พัฒนาขึ้นตลอดระยะเวลาการทำงาน เราจะเห็นได้ถึงการที่เขามุ่งเน้นตั้งคำถามถึงพลังของ ‘ความทรงจำและการหลงลืม’ ‘การสะสมและการบอกเล่า’ รวมถึง ‘การเก็บไว้และลบเลือนทิ้งไป’ ที่เข้มข้นขึ้นตามกาลเวลา
ความเข้มข้นของแนวคิดเหล่านี้ทรงพลังขึ้น ในผลงานยุคหลังๆ ของโอแดร์ที่เลือกใช้ฟอร์มของการสังเกตเฝ้าดูผู้คน ซึ่งสอดรับเข้ากับการมาถึงของสื่อเทคโนโลยีที่เพิ่มพูนและขยายตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว
โอแดร์ได้อธิบายถึงความหลงใหลในวิทยาการการบันทึกภาพของเขาไว้ดังนี้: “ตั้งแต่ยุค 2000 (2542) เป็นต้นมา เราทุกคนกลายเป็นนักทำหนังกันหมด ทั้งในแง่ที่ดีและไม่ดี เราต่างมีเครื่องมือดิจิทัลของเราคนละชิ้นหรือสองชิ้น พกพาไว้ในกระเป๋า การที่เราใช้เครื่องบันทึกภาพและเสียงเหล่านี้ทำให้นักเล่าเรื่องหน้าใหม่ๆ ได้พัฒนาตัวเองขึ้นมา และบอกเล่าเรื่องราวในแบบที่เราไม่เคยพบเห็นมาก่อน และทุกอย่างล้วนเกี่ยวกับการเล่าเรื่องผ่านภาพยนตร์ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นนักเขียนนิยาย นักเขียนบทภาพยนตร์ นักเขียนบทกวี นักเขียนเรียงความ จิตรกร นักเขียนชีวประวัติ คอลัมนิสต์ นักทำแอนิเมชัน คนช่างพูด อาลักษณ์ ประติมากร…”
ในผลงาน “Endless Column” (2554) โอแดร์เริ่มใช้ฟุตเทจวีดีโอที่เขาอัดจากโทรศัพท์มือถือ และใช้รูปแบบการตัดต่อที่รวบรัดตัดตอน ผ่านการวางภาพนิ่งลงไปโดยไม่จัดระดับ และไม่ใช้การฉายภาพซ้อนหรือเอฟเฟกต์ใดๆ
การบอกเล่าเรื่องราวที่ไม่มุ่งเน้นสิ่งใดๆ โดยใช้มุมมองผ่านเรื่องราวที่ดูส่วนตัวทำให้ผู้ชมเกิดความรู้สึกถึงระยะห่างอันขัดแย้งและซับซ้อน ในการให้วีดีโอเป็นสื่อสะท้อนชีวิตจริง และให้ความสำคัญกับการใช้ภาษาภาพที่ทำให้ผู้ชมได้รับความรู้สึกจากทั้งมุมมองของการเป็นผู้มองดู และผู้ถูกเฝ้ามองในเวลาเดียวกัน อันก่อให้เกิดห้วงอารมณ์ที่ทั้งใกล้ชิดและห่างไกล ทั้งรู้สึกคิดคำนึงถึง แต่ก็คลายผูกพันได้ในคราวเดียว
ถึงแม้จะต้องเผชิญกับรูปแบบการมองและการบันทึกภาพด้วยเทคนิคใหม่ๆ มากมาย แต่การสร้างงานผ่านมุมมองของโอแดร์กลับให้ความสำคัญอยู่ที่การมองไปที่ท่วงท่า อารมณ์ สถานการณ์ และรายละเอียดต่างๆ ที่คาดไม่ถึงที่เราอาจมองข้ามไปในชีวิตประจำวัน เขามองว่าสถานการณ์ที่ถูกมองข้ามไปเหล่านี้ถูกละเลยไปเพราะความสุขชั่วครู่ชั่วคราว และมวลความเศร้าที่เข้มข้นจนเกินไป
ดาวน์โหลดโบรชัวร์